19 กรกฎาคม 2562

ข่าวในประเทศ

  • เมื่อวันที่ 18 ก.ค. นพ. สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวถึงกรณีข่าวองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้การระบาดของ “อีโบลา” ในคองโก เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อระดมความช่วยเหลือจากนานาประเทศ ว่า ตาม พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา เป็นโรคติดต่ออันตรายที่ต้องเฝ้าระวังและดำเนินการอย่างเข้มข้น ซึ่ง คร. ได้ติดตามสถานการณ์อีโบลาในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่มีรายงานผู้ป่วยในช่วง ส.ค. 2561 และเตรียมพร้อมเฝ้าระวังและป้องกันโรค ขณะนี้ประเทศไทยไม่มีรายงานผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลานพ. สุวรรณชัย กล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีการจัดระบบเฝ้าระวังและป้องกันโรคมาอย่างต่อเนื่อง คือ 1. ติดตามความคืบหน้าจาก WHO เฝ้าระวังผู้ป่วยโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือคนไทยที่มาจากพื้นที่ระบาด ทั้งในด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ โรงพยาบาลภาครัฐและเอกชน และในชุมชน คัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดของโรคทั้งที่ด่านควบคุมโรคที่สนามบิน ด่านทางน้ำและด่านพรมแดนทางบก 2. เตรียมพร้อมตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งไทยได้รับความร่วมมือจากสหรัฐฯ ในการตรวจ และ 3. มาตรการดูแลรักษา หากมีผู้ป่วยที่มีอาการในข่ายสงสัย โดยใช้มาตรฐานเดียวกับการดูแลผู้ป่วยโรคติดต่อที่มีอันตราย เช่น ไข้หวัดนก โรคซาร์ส ซึ่งโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศมีความพร้อม ส่วนการเฝ้าระวังโรคติดต่ออันตรายในระดับพื้นที่ คร.จะมีการให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ และสื่อสารไปยังอสม. กรณีพบความผิดปกติ เช่น พบผู้ที่มาจากประเทศที่มีการระบาดมีอาการไม่สบาย เป็นไข้นพ. สุวรรณชัย กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาด WHO ยังไม่มีประกาศห้ามเดินทาง ดังนั้น ผู้ที่จะเดินทางไปสามารถเดินทางได้ โดยต้องปฏิบัติตามคำแนะนำ ได้แก่ 1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่า ทั้งที่ป่วยและไม่ป่วย 2. หลีกเลี่ยงการรับประทานสัตว์ป่าที่ป่วยตายโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะลิง ค้างคาว หรืออาหารเมนูพิสดารที่ใช้สัตว์ป่าหรือสัตว์แปลกๆ มาประกอบอาหาร 3. หลีกเลี่ยงสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น เลือดจากผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วยที่อาจปนเปื้อนกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วยหรือศพ 4. หลีกเลี่ยงสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย หากมีความจำเป็นให้สวมอุปกรณ์ป้องกันร่างกายและล้างมือบ่อยๆ 5. หากมีอาการเริ่มป่วย เช่น มีไข้สูง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บคอ อาเจียน ท้องเสีย หลังกลับจากประเทศที่มีการระบาด ให้รีบพบแพทย์ทันที

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ จ่ายเงินเยียวยาประมงพื้นบ้าน เฉียด 100 ล้าน รับกระทบ 'พายุปาบึก' ส.ค. นี้

  • นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่าจากกรณีเหตุภัยพิบัติพายุโซนร้อน “ปาบึก” พัดถล่มหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณเขตชายฝั่ง 22 จังหวัด เมื่อช่วงต้นปี 2562 ที่ผ่านมาส่งผลให้ชาวประมงพื้นบ้านได้รับกระทบอย่างหนักไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ เนื่องจากเครื่องมือประมงได้รับความเสียหาย อีกทั้งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำถูกทำลาย โดยเฉพาะแนวปะการังน้ำตื้นและปะการังเทียมได้ถูกคลื่นซัดกระหน่ำจนเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ความชุกชุมของชนิดและปริมาณสัตว์น้ำที่อยู่บริเวณชายฝั่งลดลงจนเป็นสาเหตุให้ชาวประมงพื้นบ้านต้องออกไปทำการประมงไกลฝั่งมีค่าใช้จ่ายในการทำประมงสูงขึ้นใช้เวลานานขึ้นและมีความเสี่ยงภัยมากขึ้นกรมประมง โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงในการปกป้องคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านและชุมชนประมงท้องถิ่นจึงได้จัดทำโครงการพัฒนาอาชีพและเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนประมงพื้นบ้านขึ้นล่าสุดได้รับอนุมัติงบประมาณจำนวน 99,800,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือชาวประมงพื้นบ้าน 65 ชุมชนในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช สงขลา และปัตตานี กรมประมงจะทำการจ่ายเงินดังกล่าว เพื่อให้องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นทั้ง 65 แห่งได้นำไปพัฒนาอาชีพและเสริมสร้างความเข้มแข็งตามความต้องการของชุมชนภายในเดือน ส.ค. 2562 นี้

    นอกจากนี้ กรมประมงวางเป้าหมายการพัฒนาอาชีพและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ครอบคลุมองค์กรชุมชนประมงพื้นบ้านในพื้นที่ทั้ง 22 จังหวัดชายทะเลรวมทั้งสิ้น 467 ชุมชนภายในปี 2564


ข่าวการเมืิอง

  • นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ไม่มีแล้ว ก็ไม่สามารถเรียกบุคคลมารายงานตัวเพื่อปรับทัศนคติได้ แต่ให้อำนาจโอนไปยังกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) แทนว่า ในที่นี้หมายถึงกลับไปบางส่วน แต่อำนาจตรงนี้ไม่ได้กลับไป เพราะในคำสั่ง เช่น คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ก็ไม่ได้ยกเลิก แต่เขียนเอาไว้ว่าให้เจ้าหน้าที่ซึ่ง คสช.แต่งตั้งมีอำนาจทำสิ่งต่อไปนี้ เช่น เชิญใครมารายงานตัว แต่เมื่อ คสช.สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา ก็จะไม่มีอำนาจในการแต่งตั้งใครเป็นเจ้าหน้าที่ ฉะนั้นคำสั่งนี้ไม่ต้องเลิก แต่จะหมดไปโดยอัตโนมัติพร้อมกับ คสช. ซึ่งคำสั่งแบบนี้มีหลายฉบับที่ไม่ได้ยกเลิก แต่จะหมดไปพร้อมกับคสช. ส่วนอำนาจหน้าที่อย่างอื่น เช่น ทรัพย์สิน หน่วยงาน หรืองบประมาณที่ยังติดค้างอยู่ ก็ให้ไปที่ กอ.รมน. แต่ กอ.รมน. ถ้าจะทำอะไรเขามีอำนาจของเขาเองตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร แต่ไม่ใช่อำนาจเรียกปรับทัศนคติ เป็นอำนาจเชิญมาให้ข้อมูลอะไรบางอย่าง อาจในฐานะพยาน รวมถึงไม่สามารถกักตัวใครไว้ด้วยเมื่อถามว่าฝ่ายตรงข้ามมองว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า อำนาจตามคำสั่ง คสช. ไม่มีแล้ว เพราะที่ถามตนถาม ณ วันนั้นคือวันที่คำสั่ง คสช. ยังไม่หมด แต่พอมาถามวันนี้ คำสั่ง คสช. หมดไปแล้ว อำนาจการดูแลรักษาความสงบก็ต้องไปอยู่ที่ กอ.รมน. เพราะเขามีอำนาจเดิมอยู่แล้ว

 

  • นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ที่พรรคประชาธิปัตย์ กรณีที่ฝ่ายค้านเรียกร้องให้เปิดอภิปรายนโยบายรัฐบาลเป็น‪เวลา 3 วัน‬ ภายหลัง นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ออกมาระบุ อภิปราย 2 วันก็เพียงพอแล้ว ว่า ได้ออกระเบียบวาระการประชุมเป็น 2 วัน คือ ‪ระหว่างวันที่ 25-26 ก.ค.‬ ซึ่งการกำหนดแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าอภิปรายไม่เสร็จสามารถอภิปรายต่อได้ในวันที่ ‪27 ก.ค.‬ แต่จะไม่เกิน 3 วัน ทั้งนี้ ยังไม่ได้รับทราบรายละเอียดจากคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) และคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) โดยวิปทั้ง 2 ฝ่าย จะหารือว่าฝ่ายใดจะอภิปรายได้เวลาเท่าไหร่ ซึ่งแต่ละฝ่ายจะบริหารเวลากันเอง

    เมื่อถามถึงเรื่องที่ฝ่ายค้านระบุว่า การอภิปรายนโยบายครั้งนี้จะมีการพูดถึงคุณสมบัติของรัฐมนตรีด้วย สามารถทำได้หรือไม่ นายชวน กล่าวชี้แจงว่า ระเบียบข้อบังคับการประชุมรัฐสภาจะกำหนดไว้ว่าการอภิปรายในเรื่องของความเป็นไปได้ของนโยบาย หรือการที่นโยบายจะประสบความสำเร็จ ซึ่งเขาก็มีสิทธิ์อภิปรายความสามารถของบุคคลนั้นๆ ได้ ส่วนความกังวลที่ฝ่ายค้านอาจจะใช้เวทีอภิปรายนโยบายรัฐบาลเป็นเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจย่อยๆ นายชวน ระบุว่า เขาก็ทำมาโดยตลอดจากนั้นผู้สื่อข่าวถามย้ำถึงความหนักใจในการควบคุมการประชุม ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎรระบุ เรื่องนี้มีระเบียบอยู่แล้วว่าจะอภิปรายได้เพียงใด การอภิปรายความสามารถของบุคคลเขาสามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องย้ำ คือ การบริหารเวลา ถ้าบริหารได้จริงสภาจะไม่เสียเวลามากนัก แต่จะทำให้คนอภิปรายได้ประโยชน์มากขึ้น เราพยายามเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีสิทธิ์อภิปรายได้มากขึ้น ดังนั้น จึงอยู่ที่การแบ่งเวลา เพราะหากคนหนึ่งไปเอาเวลาเพื่อนมาอภิปราย เพื่อนก็อภิปรายไม่ได้ การที่ให้โอกาสหลายคนพูดโดยการคุมเวลาคนละไม่เกินกี่นาทีจะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย สมาชิกที่อยากอภิปรายก็จะได้อภิปราย ขณะเดียวกัน ประเด็นที่พูดไม่ควรเยิ่นเย้อ ไม่ซ้ำซ้อนเกินไป ซึ่งเท่าที่เห็นสมาชิกมีความพยายามทำอยู่

 


ข่าวเศรษฐกิจ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เมืองต้นแบบ TOD

  • ความคืบหน้าโครงการศึกษาพัฒนาเมืองกับระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง (TOD) ขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดเลือกพื้นที่เมืองต้นแบบนำร่องในการพัฒนา TOD โดยจะคัดเลือก 3 พื้นที่ เบื้องต้น ได้แก่ จ.ขอนแก่น และ พระนครศรีอยุธยา ส่วนอีก 1 จังหวัดอยู่ระหว่างหาข้อสรุป สำหรับการคัดเลือกทั้ง 3 จังหวัดนี้จะพิจารณาจากจังหวัดที่มีศักยภาพ มีระบบรางผ่าน เช่น จ.พระนครศรีอยุธยา จะมีทั้งโครงการถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีด) และ รถไฟทางคู่ผ่าน ขณะที่ขอนแก่นเป็นจังหวัดที่เข้มแข็ง ตอนนี้อยู่ระหว่างพัฒนาเมืองให้เป็นสมาร์ทซิตี้ ก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางจิระ-ขอนแก่น มีการผลักดันระบบขนส่งสาธารณะ อย่างรถไฟฟ้ารางเบา (แทรม) ให้เกิดในพื้นที่ในจังหวัด และพัฒนาระบบบริการขนส่งสาธารณะ อย่าง ขอนแก่นซิตี้บัส ทำให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาพื้นที่ TODอย่างไรก็ตาม หลังจากคัดเลือกพื้นที่ต้นแบบได้แล้ว ช่วงปลายเดือน ส.ค. 62 จะเสนอที่ประชุมให้พิจาณาเห็นชอบพื้นที่ 3 แห่งในการพัฒนา TOD จากนั้นจะลงพื้นที่ไปรับฟังความคิดเห็นประชาชนใน 3 พื้นที่ ทั้งการเกิดโครงการดังกล่าว ต้องการพัฒนา TOD อย่างไรบ้าง เพื่อสรุปเลือกตำแหน่งที่ตั้ง เตรียมออกแบบพัฒนา TOD ทั้ง 3 พื้นที่เบื้องต้น รวมทั้งการเลือกบริบทเชิงกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม การศึกษารูปแบบการลงทุน และวงเงินลงทุนในการพัฒนา ซึ่งแนวทางดำเนินการพัฒนา TOD ทั้ง 3 แห่งนี้สิ่งที่ต้องพัฒนาต้องดูความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่โดยรอบสถานีด้วย อาทิ อาจจะพัฒนาให้มีพื้นที่เชิงพาณิชย์ สร้างที่พักอาศัย จัดระบบฟีดเดอร์รับส่งประชาชนให้ไปใช้ระบบขนส่งมวลชนที่สะดวก ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลในการเดินทาง รวมทั้งส่งเสริมเน้นการเดินและใช้จักรยาน เพื่อลดมลพิษและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมควบคู่ด้วย ทั้งนี้ผลการศึกษาจะแล้วเสร็จ เม.ย.63 จากนั้นจะเสนอให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาเห็นชอบต่อไป

 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ผู้ว่า ธปท แบงค็อก ฟินเทค แฟร์ 2019

  • นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้จัดงานแบงค็อก ฟินเทค แฟร์ 2019 ที่ศูนย์การเรียนรู้ ธปท.ระหว่างวันที่ 18-19 ก.ค.62 โดยมีสถาบันการเงินทั้งธนาคาร นอนแบงก์ และบริษัทเทคโนโลยีเข้าร่วมงาน 69 ราย ซึ่งธปท.ได้ประกาศให้การสนับสนุนนวัตกรรมการเงิน(ฟินเทค)ในปีนี้เป็นวาระที่สำคัญของการดำเนินนโยบาย เพื่อเชื่อมโยงโลกการเงินไปสู่นอกประเทศ และให้เกิดการแข่งขัน ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายและต้นทุนการเงินที่ถูกลง รวมทั้งยังให้ทำให้ระบบเป็นมาตรฐานมีคุณภาพสำหรับปีนี้จะกำหนดการสนับสนุนนวัตกรรมการเงิน 4 เรื่องสำคัญ ประกอบด้วย 1.การใช้ระบบแบบเปิด เช่น สนับสนุนให้มีผู้เล่นรายใหม่ๆเข้ามาได้ง่ายมากขึ้น ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขัน เช่น ให้บริษัทรายเล็กมีแนวคิดได้พัฒนาการเงินแข่งขันกับธนาคาร 2.ระบบต้องเชื่อมถึงกัน เช่น ระบบธนาคารกับนอนแบงก์สามารถเชื่อมโยงกันได้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการชำระเงิน หรือโอนเงินของลูกค้า ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำคิวอาร์โค้ดโดยเป็นการเชื่อมการชำระเงินและให้เกิดการแข่งขัน รวมทั้งขยายไปประเทศอื่นๆในอาเซียนด้วย 3.ทำโครงสร้างพื้นฐานสร้างแรงจูงใจเพื่อให้ลูกค้าได้ใช้ ซึ่งต้องให้เกิดความสะดวกและต้นทุนการเงินถูก โดยเฉพาะเรื่องความมั่นใจในบริการ แม้จะสะดวกเพียงใดแต่ถ้าไม่มั่นใจก็ไม่มีคนใช้ และ4.โครงสร้างการกำกับดูแลที่ต้องออกมาให้สมดุล โดยกฎระเบียบจะต้องไม่เข้มงวดจนเกินไปและจะต้องไม่อ่อนหรือปล่อยจนเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของผู้บริโภคและระบบการเงิน รวมทั้งได้เน้นย้ำว่ากฎระเบียบต้องมีความยืดหยุ่น และเพียงพอกับการเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น การกำกับดูแลจะต้องปรับเปลี่ยนไปเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ร่วมแข่งขัน เป็นต้นนอกจากนี้ภายในงานยังได้เปิดตัวการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลผ่านระบบเนชั่นแนลดิจิทัลไอดี(เอ็นดีไอดี) โดยจะเข้ามาช่วยกระบวนการทำความรู้จักลูกค้าผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์(อี-เควายซี) จะเริ่มใช้จริงต้นไตรมาส4 ปีนี้ให้ลูกค้าได้เปิดบัญชีเงินฝากที่ทำอี-เควายซีข้ามธนาคาร และมีแผนขยายจากบุคคลธรรมดาไปสู่นิติบุคคลและชาวต่างชาติในระยะต่อไป รวมทั้งจะมีการเปิดตัวบริการมายพร้อมคิวอาร์ในวันที่ 19 ก.ค.นี้ ซึ่งเป็นคิวอาร์เพย์เมนท์ หรือการชำระเงินรูปแบบใหม่ที่ขยายสู่ภาคธุรกิจ เชื่อว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนการใช้บริการทางการเงินและการชำระเงินทางดิจิทัลที่สำคัญของประเทศต่อไป

 


ข่าวต่างประเทศ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ faceapp ข่าว

  • ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ภาพใบหน้าคนแก่ได้กลายเป็นไวรัลในโลกโซเชียลมีเดียทั้งเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ ภาพดังกล่าวมาจากแอปพลิเคชัน ‘FaceApp’ สตาร์ทอัปสัญชาติรัสเซียเป็นเจ้าของ ซึ่งปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดกว่า 100 ล้านคนทั่วโลกจากระบบกูเกิลเพลย์ ขณะที่ในแอปสโตร์ก็กลายเป็นแอปพลิเคชันที่ติดท็อปใน 121 ทั่วโลก ซึ่ง FaceApp เป็นแอปพลิเคชันให้ผู้ใช้อัพโหลดรูปภาพของตนเอง และใช้ระบบเอไอในการประมวลผลเพื่อเปลี่ยนใบหน้าในรูปนั้นเป็นรูปแบบต่างๆ ทั้งนี้รูปภาพที่อัปโหลดขึ้นไปจะถูกเก็บไปยังระบบคลาวด์ของแอปฯกระแสของแอปดังกล่าวทำให้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โจชัว นอซซี่ นักพัฒนาโปรแกรมออกมาเตือนถึงเรื่องความปลอดภัยจากการใช้ FaceApp โดยกล่าวว่า ระบบของ FaceApp นั้นสามารถเข้าถึงรูปภาพในมือถือของทุกคนได้ โดยไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของเครื่อง ไม่ว่าคุณจะเลือกเงื่อนไขการยินยอมเข้าถึงข้อมูลหรือไม่ก็ตาม ซึ่งประเด็นดังกล่าวนำไปสู่ความกังวลในเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานทั้งนี้ทางแอปพลิเคชัน FaceApp ได้ออกมาปฏิเสธถึงการเข้าถึงรูปภาพส่วนตัวและข้อมูลของผู้ใช้งานโดยระบุว่า รูปภาพส่วนใหญ่จะถูกลบจากเซิฟเวอร์ของแอปฯ ภายใน 48 ชั่วโมง และข้อมูลของผู้ใช้งานนั้นไม่ได้ถูกส่งไปยังรัสเซียอย่างที่หลายคนกังวล แม้ว่าทีมวิจัยและพัฒนาโปรแกรมนั้นจะอยู่ที่ประเทศรัสเซียก็ตาม

    ทางด้าน ‘ยารอสลาฟ กอนชารอฟ’ เจ้าของแอปพลิเคชันตัวนี้กล่าวกับ techcrunch ว่า ทางบริษัทใช้ระบบคลาวด์ของ AWS and Google Cloud ซึ่งมีเซิฟเวอร์อยู่นอกรัสเซีย และยังยืนยันอีกว่า ทางแอปฯ ไม่มีการขยายข้อมูลของผู้ใช้งานให้กับบริษัทที่ 3 แต่อย่างใด

    ขณะที่ ‘ชัค สครูเมอร์’ วุฒิสมาชิกของสหรัฐฯ ออกมาเรียกร้องสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางแห่งชาติสหรัฐฯ (FBI) และคณะกรรมาธิการการค้าของสหรัฐฯ (FCT) โดยระบุถึงความกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยจากที่ตั้งของบริษัทที่อยู่ในกรุงเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก และการขอข้อมูลของผู้ใช้งานในการขอเข้าถึงโทรศัพท์ส่วนตัวและข้อมูลที่เชื่อมตัวกับแอปพลิเคชัน และยังเรียกร้องให้ FBI เข้าตรวจสอบข้อมูลของชาวอเมริกันว่าอาจจะตกอยู่ในมือของรัฐบาลรัสเซีย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สหรัฐยกเลิกความร่วมมือ "เอฟ-35" กับตุรกี... อ่านต่อที่ : https://www.dailynews.co.th/foreign/720985

  • สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ว่าทำเนียบขาวออกแถลงการณ์เมื่อวันพุธ ว่าการตัดสินใจของตุรกีในการซื้อระบบป้องกันทางอากาศเอส-400 ของรัสเซีย ไม่อาจทำให้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลอังการากับรัฐบาลวอชิงตัน ในโครงการพัฒนาเครื่องบินขับไล่เอฟ-35 “เป็นไปได้อีกต่อไป” เนื่องจากความร่วมมือดังกล่าวไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ตราบใดที่ยังมี “แพลตฟอร์มเก็บข้อมูลด้านข่าวกรองของรัสเซีย” ตั้งอยู่ในตุรกี และมีความเป็นไปได้สูงที่อุปกรณ์ดังกล่าวจะสามารถ “สอดแนม” ความก้าวหน้าในโครงการพัฒนาเครื่องบินเอฟ-35 ของสหรัฐได้ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของตุรกีออกแถลงการณ์ตอบโต้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ว่าการตัดสินใจดังกล่าวของรัฐบาลวอชิงตัน “ไม่ยุติธรรมและไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง” เพราะเป็นการประเมินสถานการณ์เองฝ่ายเดียว และเตือนว่าอาจส่งผลกระทบต่อความร่วมมือระดับทวิภาคีด้านอื่นในอนาคต ทั้งนี้ การยกเลิกความร่วมมือระหว่างสหรัฐกับตุรกีเกี่ยวกับเครื่องบินเอฟ-35 รวมถึงการที่บริษัทของตุรกียุติการผลิตส่วนประกอบตามข้อตกลง และการยกเลิกข้อตกลงขายเครื่องบินเอฟ-35 จำนวน 100 ลำให้แก่รัฐบาลอังการาด้านนางสเตฟานี กริชแชม โฆษกหญิงทำเนียบขาว กล่าวว่ารัฐบาลวอชิงตันยื่นข้อเสนอเรื่องการขายระบบป้องกันแพทริออตให้แก่ตุรกี ซึ่งมีการปรับเปลี่ยน “หลายครั้ง” ให้เป็นไปตามความต้องการของอีกฝ่าย และอยู่ในระดับที่สหรัฐยอมรับได้เช่นกัน แต่ในที่สุดรัฐบาลอังการายังควเลือกระบบเอส-400 ของรัสเซีย อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปฏิเสธให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยผู้นำสหรัฐกล่าวเพียงว่าเขา “มีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม” กับประธานาธิบดีเรเซป เทย์ยิป เออร์โดกัน ผู้นำตุรกี ซึ่งรับมอบชิ้นส่วนชุดแรกของระบบ-เอส 400 จากรัสเซีย เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

สภาพอากาศ

  • พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณภาคใต้ และภาคตะวันออก มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากไว้ด้วย ซี่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ ส่วนภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ยังคงมีปริมาณฝนน้อย สำหรับทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2-3 เมตร และอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ โดยหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 21 กรกฎาคม 2562พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณภาคใต้ และภาคตะวันออก มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากไว้ด้วย ซี่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ ส่วนภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ยังคงมีปริมาณฝนน้อย สำหรับทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2-3 เมตร และอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ โดยหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 21 กรกฎาคม 2562